ในปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยยังคงมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ แม้ว่ายอดขายของที่อยู่อาศัยจะลดลง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นถึงความท้าทายและโอกาสในตลาดนี้ได้อย่างชัดเจน
ยอดขายลดลง แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤต
ตามข้อมูลจากการประมาณการของ 10 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ยอดสัญญาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ลดลงประมาณ 9.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ประมาณ 246,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าลดลงจากปี 2566 ที่ 272,000 ล้านบาท การลดลงนี้อาจจะทำให้หลายคนเข้าใจว่าตลาดที่อยู่อาศัยกำลังเผชิญกับปัญหาหนัก แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้ว การลดลงนี้ยังถือว่าไม่รุนแรงมากนัก
ปัญหาสินเชื่อผ่อนชำระที่อยู่อาศัย
ตัวเลขสินเชื่อผ่อนชำระที่อยู่อาศัยที่ปล่อยใหม่ในปี 2567 ลดลงราว 8% ซึ่งแสดงถึงความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ แนวโน้มนี้สะท้อนถึงการคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่สามารถมองข้ามปัจจัยสำคัญอย่างอัตราการผิดนัดชำระหนี้ (NPL) ได้ เมื่อ %NPL สูงขึ้น สถาบันการเงินจะมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และอาจทำให้การขายที่อยู่อาศัยในตลาดลดลงตามไปด้วย
มุมมองในอนาคต: โอกาสจากการลงทุนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำ แต่การลงทุนจากจีนในปี 2568 อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัย โดยอาจช่วยเพิ่มยอดขายที่อยู่อาศัยได้บ้าง แม้ว่าจะไม่ถึงระดับสูงเหมือนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่การกลับไปสู่ยอดขายประมาณ 100,000 หน่วยต่อปี อาจเป็นสิ่งที่สามารถคาดหวังได้
การดูแลคุณภาพสินเชื่อเพื่อการเติบโตในระยะยาว
การดูแลคุณภาพสินเชื่อของสถาบันการเงินยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรักษาความเสถียรของตลาดที่อยู่อาศัย หาก %NPL สามารถลดลงได้ ตลาดที่อยู่อาศัยก็จะมีโอกาสในการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงินสามารถควบคุมได้
สรุป
ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567-2568 ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ยังมีโอกาสในการเติบโต หากสามารถปรับตัวและเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความเสี่ยงและโอกาสใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการในตลาดนี้