แม้ว่าผลประกอบการปี 2567 ของ SCG จะเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยมีกำไรสุทธิเพียง 6,342 ล้านบาท ลดลงถึง 76% จากปีก่อน เนื่องจากผลขาดทุนจากโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP ในเวียดนาม และกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง แต่บริษัทกลับสามารถรักษาสภาพคล่องได้ดี ด้วย EBITDA ที่ยังคงแข็งแกร่งที่ 53,946 ล้านบาท ส่งผลให้ SCG ประกาศจ่ายเงินปันผล 5.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 95% ของกำไรสุทธิ แสดงถึงความเชื่อมั่นในความสามารถในการบริหารกระแสเงินสด
เมื่อมองไปข้างหน้า ปี 2568 เป็นปีที่ SCG ต้องเผชิญทั้งโอกาสและความท้าทาย เศรษฐกิจอาเซียนโดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนามยังคงเติบโตได้ดี ประกอบกับการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐไทยที่อาจช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทำให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างของ SCG มีแนวโน้มฟื้นตัว ขณะเดียวกัน บริษัทเดินหน้าขยายตลาดในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากตลาดภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่ภาวะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีการแข่งขันรุนแรงจากการเพิ่มกำลังผลิตในจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าลดลง รวมถึงต้นทุนพลังงานและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่การนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนอาจกดดันกำไรของ SCG ในตลาดวัสดุก่อสร้าง
เมื่อพิจารณาผลประกอบการย้อนหลัง รายได้ของ SCG ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566 อยู่ที่ 511,172 ล้านบาท แต่กำไรกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งบริษัทเคยมีกำไรถึง 26,304 ล้านบาท สะท้อนถึงความท้าทายที่ SCG เผชิญจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการแข่งขันที่รุนแรง
แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ SCG ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต โดยมุ่งเน้นการบริหารประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเร่งขยายตลาดในภูมิภาค ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูกำไรในอนาคต