ท่ามกลางกระแสประชากรไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ธุรกิจโรงเรียนเอกชนกลับเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับคุณภาพทุนมนุษย์ในระยะยาว และมีบทบาทต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต ในจำนวนนี้ “โรงเรียนนานาชาติ” กลายเป็น Segment ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทั้งด้านการเติบโตของรายได้ คุณภาพผลประกอบการ และความสามารถในการแข่งขันเหนือโรงเรียนเอกชนประเภทอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS ระบุชัดว่า ระหว่างปี 2565-2567 โรงเรียนนานาชาติทำรายได้เติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี พร้อมอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ย 10.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยธุรกิจโรงเรียนเอกชนเกือบเท่าตัว ในขณะที่โรงเรียนเอกชนทั่วไปและโรงเรียนเฉพาะทางเติบโตเฉลี่ยเพียง 6-7% เท่านั้น ภาพดังกล่าวสะท้อนศักยภาพของตลาดระดับพรีเมียมที่ยังแข็งแรง และมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่อ่อนไหวต่อราคาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโตโดดเด่น คือ โครงสร้างผู้เรียนที่มีรายได้สูง ทั้งครอบครัวไทยระดับบนและกลุ่มต่างชาติ (Expats) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาและมาตรฐานหลักสูตรสากล ไม่ว่าจะเป็น Cambridge, IB หรือ American Curriculum ความพรีเมียมของหลักสูตรช่วยสร้างภาพลักษณ์แตกต่างจากโรงเรียนเอกชนทั่วไป และเปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถตั้งค่าเล่าเรียนในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ โรงเรียนนานาชาติยังบริหารจัดการแบบเศรษฐกิจขนาด (Economies of Scale) ได้ดีกว่าโรงเรียนทั่วไป เช่น การใช้บุคลากรร่วมกันแบบ Multi-Campus หรือการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากกิจกรรมเสริมทักษะ After-School และ Weekend Program ตั้งแต่ดนตรี กีฬา จนถึง Coding ตลอดจนรายได้จากบริการเสริมอย่างรถรับ–ส่ง โรงอาหาร ชุดนักเรียน หรือกิจกรรมออกค่ายต่างประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวนักเรียนให้สูงขึ้นอีกหลายเท่า
อย่างไรก็ดี เมื่อประเทศไทยเดินหน้าสู่ Aging Population แบบเต็มตัว ภาพการแข่งขันของธุรกิจโรงเรียนเอกชนอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะจำนวนประชากรวัยเรียน (อายุ 3-17 ปี) ถูกคาดว่าจะลดลงเฉลี่ย -2.2% ต่อปี ในช่วงปี 2568–2570 จากเดิม 11.3 ล้านคน เหลือเพียงราว 10.6–11.1 ล้านคน การลดลงของฐานผู้เรียนจึงเป็นแรงกดดันสำคัญที่โรงเรียนต้องเร่งหาวิธีรับมือ
กรณีศึกษาจากญี่ปุ่นซึ่งเผชิญสถานการณ์นี้มาก่อนชี้ให้เห็นสองกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ การขยายสาขาไปยังเมืองใหม่เพื่อลดการพึ่งพานักเรียนในพื้นที่เดิม และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับโรงเรียนต่างประเทศ เพื่อดึงดูดครอบครัวที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มนักเรียนต่างชาติ ตัวอย่างเช่น Harrow International School Appi Japan ที่เข้าเป็นเครือข่าย Harrow School (UK) หรือโรงเรียนในฮอกไกโดที่ขยายจาก Sapporo ไปยัง Niseko เพื่อตอบรับชุมชนต่างชาติที่เติบโตขึ้น
เมื่อสะท้อนมาที่ไทย โอกาสในการขยายโรงเรียนนานาชาติมีเด่นชัดที่สุดใน ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยต่อคนสูงสุดในประเทศ ประกอบกับจำนวน Expats ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการลงทุน ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายโรงเรียนนานาชาติระดับกลางถึงระดับพรีเมียม
กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นตลาดหลักที่มีศักยภาพสูงเช่นกัน ด้วยกำลังซื้อเฉลี่ยต่อคนเกือบ 5 แสนบาทต่อปี แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจากโรงเรียนเอกชนนับร้อยแห่ง ทำให้การขยายธุรกิจในพื้นที่นี้จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง ทั้งด้านหลักสูตร คุณภาพบุคลากร และประสบการณ์การเรียนรู้ที่โดดเด่นกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ภาคใต้ โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” กลายเป็นอีกพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง รายได้เฉลี่ยต่อคนสูงถึง 3.1 แสนบาทต่อปี และมีสัดส่วนชาวต่างชาติอยู่อาศัยจำนวนมาก ทำให้เกิดดีมานด์สำหรับโรงเรียนนานาชาติที่ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวไทยฐานรายได้สูงและครอบครัวต่างชาติ
ในภาพรวม Krungthai COMPASS คาดว่าตลาดโรงเรียนเอกชนไทยจะขยายตัวเฉลี่ย 3.2% ต่อปี ในช่วงปี 2568–2570 โดยมีมูลค่าตลาดรวมราว 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท แม้ว่าการเติบโตจะชะลอลงจากอดีตเพราะจำนวนเด็กที่ลดลง แต่ผู้ประกอบการยังสามารถเพิ่มรายได้ต่อหัวนักเรียนได้ ผ่านการยกระดับหลักสูตร การร่วมมือกับโรงเรียนต่างประเทศ และการเพิ่มบริการเสริมด้านทักษะและกิจกรรมครบวงจร
กล่าวโดยสรุป แม้สังคมผู้สูงอายุจะเป็นความท้าทายสำคัญ แต่โรงเรียนนานาชาติก็ยังเป็น Segment ที่จะ “อยู่รอดและเติบโต” ได้ดีที่สุดในยุคต่อจากนี้ ด้วยโครงสร้างรายได้จากกำลังซื้อระดับบนที่มั่นคง คุณภาพหลักสูตรที่เป็นจุดขาย และความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านบริการรอบตัวนักเรียน ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวตาม Landscape ใหม่ ทั้งด้านพื้นที่ กลยุทธ์ และเครือข่ายความร่วมมือ จะเป็นกลุ่มที่ยืนหยัดได้แม้จำนวนเด็กไทยจะลดลงในอนาคต
![]()















