29 มิถุนายน 2568 – ลานหน้าสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามประลองความพร้อมทางเทคโนโลยีตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย “เอไอเอส” และ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” ยกทัพผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่ 5G อย่างพร้อมเพรียง
การประมูลในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของประเทศ เพราะเปิดให้ชิงสิทธิ์ใน 4 ย่านคลื่นความถี่ ได้แก่ 850 MHz, 1500 MHz, 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งแต่ละย่านต่างมีบทบาทในการวางโครงสร้างพื้นฐาน 5G ให้ครอบคลุมทุกมิติของการสื่อสาร โดยเฉพาะคลื่น 850 MHz ที่ได้รับฉายาว่า “คลื่นทองคำ” ด้วยคุณสมบัติในการทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางและการครอบคลุมพื้นที่กว้าง จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องการครอบครอง
ในช่วงเช้า นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เดินทางมาถึง กสทช. ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักจากเสียงเชียร์ของพนักงานจำนวนมากที่มาร่วมให้กำลังใจอย่างเนืองแน่น การเคลื่อนไหวของเอไอเอสครั้งนี้สะท้อนภาพความมั่นใจของผู้นำตลาดที่ต้องการตอกย้ำศักยภาพ และเดินหน้าสู่การขยายโครงข่ายอย่างต่อเนื่องในยุค 5G
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งทรู คอร์ปอเรชั่นก็ตอบโต้ด้วยภาพลักษณ์ที่ทรงพลังไม่แพ้กัน เมื่อ “ซิกเว่ เบรกเก้” ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม นำขบวนผู้บริหารระดับสูงทั้งจากสายงานเทคโนโลยี กลยุทธ์ การเงิน และกิจการองค์กร เข้าสู่พื้นที่การประมูลตั้งแต่เวลา 07:29 น. พร้อมทีมกองเชียร์ทรูนับร้อยคนที่รวมตัวกันหน้าอาคารสำนักงาน กสทช. เพื่อแสดงพลังสนับสนุนอย่างคึกคัก
ทันทีที่พิธีเปิดการประมูลเริ่มต้นขึ้น โดยมี ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เป็นประธานในพิธี นายซิกเว่ได้ทำการจับสลากสุ่มหมายเลขห้องประมูล และนำทีมเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด
แม้การประมูลจะเป็นเรื่องของตัวเลขและกลยุทธ์ทางการเงิน แต่ครั้งนี้สะท้อนอะไรได้มากกว่านั้น ทั้งในด้านการเมืองของเทคโนโลยี วิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร และอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย เพราะ “คลื่น” ไม่ใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติของชาติ แต่คือหัวใจของการเชื่อมต่อชีวิตผู้คนในโลกยุคใหม่
โดยเฉพาะคลื่น 850 MHz ซึ่งอยู่ในย่านความถี่ต่ำ มีความสามารถพิเศษในการกระจายสัญญาณครอบคลุมพื้นที่กว้าง มีความเสถียรสูง และสามารถทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางได้ดี เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ชนบทหรืออาคารสูงในเขตเมือง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับสมญานามว่า “คลื่นทองคำ” และกลายเป็นเป้าหมายหลักของทุกผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่มองเห็นคุณค่าระยะยาวของการลงทุน
ในแง่ยุทธศาสตร์ ทรู คอร์ปอเรชั่นแสดงจุดยืนชัดเจนว่า การเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้คือการ “ลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ” ไม่ใช่เพียงแค่แย่งชิงตลาด แต่เป็นการวางรากฐานเครือข่ายเทคโนโลยีให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ของไทย ขณะที่เอไอเอสเองก็ต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำด้วยความแข็งแกร่งในด้านการให้บริการและความไว้วางใจจากฐานลูกค้าที่กว้างขวางทั่วประเทศ
การประมูลคลื่นความถี่ในวันนี้ดำเนินการด้วยระบบการเคาะราคาประมูลแบบเปิด (Auction) ที่โปร่งใส ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. อย่างเข้มงวด โดยมีการประเมินว่า คลื่นทั้ง 4 ย่านที่เปิดประมูลมีมูลค่ารวมกันเฉียด 60,000 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนด้านโครงข่ายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในรอบทศวรรษ
ไม่ว่าจะเป็นคลื่น 1500 MHz ที่ช่วยเพิ่มความจุให้โครงข่าย 5G, คลื่น 2100 MHz ที่ใช้งานได้หลากหลายทั้ง 3G, 4G และ 5G หรือคลื่น 2300 MHz ที่ให้ความเร็วสูงในพื้นที่หนาแน่น การประมูลครั้งนี้คือการเปิดฉากแข่งขันเพื่อวางรากฐานอนาคตในโลกที่ทุกวินาทีคือดิจิทัล
ภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือดแต่โปร่งใส ศึกคลื่นทองคำในวันนี้อาจไม่ใช่เพียงการแย่งชิงใบอนุญาตอีกต่อไป แต่คือการชิง “บทบาทผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลไทย” ในอีกสิบปีข้างหน้า — และผลลัพธ์จะบอกเราได้ว่า ใครคือผู้กล้าพอที่จะเดิมพันอนาคตประเทศด้วยคลื่นที่มองไม่เห็น แต่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง
