ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับแสนสิริ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการสนับสนุน สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Loan) ประเภท Pre-Finance มูลค่า 4,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการคอนโดมิเนียมต้นแบบด้านความยั่งยืน ได้แก่ PTY Residence Sai 1 พัทยา, The Standard Residences Hua Hin, และ WIDEN by Sansiri นางลิ้นจี่ ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกของธนาคารกสิกรไทยที่ใช้เกณฑ์การประเมินสินเชื่อสอดคล้องกับ Thailand Taxonomy
ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทของธนาคารกสิกรไทยในฐานะ Bank of Sustainability ที่มุ่งสนับสนุนคู่ค้าให้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับมาตรฐานอสังหาริมทรัพย์ไทยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเฉพาะภาคอาคาร
นางสาวขัตติยา อินทรวิขัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แสนสิริถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ และเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับ การสร้างที่อยู่อาศัยและสังคมแห่งความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของธนาคารที่มุ่งสนับสนุนโครงการที่สร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ดำเนินไปอย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบสนองต่อความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ
ความร่วมมือดังกล่าวใช้ หลักเกณฑ์การประเมินสินเชื่อเข้มข้น ที่สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy โดยคำนึงถึง Emission Intensity หรือความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อพื้นที่อาคาร ให้สอดคล้องกับเส้นทางลดคาร์บอนของประเทศไทยสำหรับภาคอาคาร ซึ่งทั้ง 3 โครงการได้รับการรับรองจาก Bureau Veritas บริษัทผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ในการตรวจสอบและรับรองค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐานสากล
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ แสนสิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า แสนสิริได้ผสานแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจทุกขั้นตอน ทั้งการออกแบบ การจัดซื้อจัดหาวัสดุ การก่อสร้าง การส่งมอบโครงการ รวมถึงบริการหลังการขาย ผ่าน 3 Green Framework ได้แก่ Green Architecture and Design, Green Construction และ Green Procurement ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
นอกจากนี้ การออกแบบของ 3 โครงการคอนโดมิเนียมดังกล่าว นำแนวคิด “Sansiri Sustainable Design” มาใช้ มุ่งสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยที่ผสมผสาน ความสุขอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาวะทางใจ ความสะดวกสบาย และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แนวทางนี้ยังเน้นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับสภาพอากาศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง
ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังสร้าง คุณค่าในระยะยาวให้กับผู้อยู่อาศัย สังคม และสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์ทั้งในด้าน การประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว การมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้น และการร่วมสร้างคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า ความร่วมมือดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นต้นแบบให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวสู่ความยั่งยืนในอนาคต