กรุงเทพฯ — ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 39,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 452 ล้านบาท หรือ 1.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความแข็งแกร่งของธนาคารท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งในและต่างประเทศ
นางสาวขัตติยาอินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 มีทิศทางชะลอตัวจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการส่งออกที่หดตัวจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงจากภาระหนี้ครัวเรือน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มศักยภาพ โดยมองว่าเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเติบโตในอัตราต่ำกว่าช่วงครึ่งแรก
“แม้เผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ธนาคารกสิกรไทยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3+1 และการยกระดับ Productivity เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ลูกค้า ผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้น พร้อมสนับสนุนภาครัฐในการช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง” นางสาวขัตติยากล่าว
📈 สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2568
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตฯ และภาษีเงินได้ 85,127 ล้านบาท ลดลง 2.80% จากปีก่อน
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 104,239 ล้านบาท ลดลง 6.94% ตามภาวะอัตราดอกเบี้ยและการช่วยเหลือลูกค้า
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 13.8% เป็น 42,709 ล้านบาท จากรายได้ค่าธรรมเนียม กำไรจากเครื่องมือทางการเงิน และรายได้จากการลงทุน
ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 61,821 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สุทธิ (Cost to Income Ratio) ที่ 42.07%
ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) 30,047 ล้านบาท ลดลง 14.17% จากปีก่อน
💰 ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 13,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.16% จากไตรมาสก่อน โดยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการยังขยายตัวดี และธนาคารยังคงบริหารสำรองด้วยความระมัดระวัง
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากสิ้นปี 2567 อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Gross) อยู่ที่ 3.19% และมีอัตราส่วน Coverage Ratio ที่ 166.43% ขณะที่เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) แข็งแกร่งที่ 21.60% ตามหลักเกณฑ์ Basel III
ธนาคารยืนยันว่าจะเดินหน้าพัฒนาองค์กรตามแผน 3+1 Strategy เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตอย่างยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง