ท่ามกลางกระแสการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของไทย คณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้มีมติอนุมัติโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศพร้อมอะไหล่จำนวน 184 คัน ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 24,150 ล้านบาท เพื่อทดแทนขบวนรถที่ใช้งานมานานกว่า 30 ปี และเตรียมพร้อมรองรับการขยายตัวของโครงการก่อสร้างทางคู่ระยะที่ 1 และ 2 รวมถึงโครงการทางรถไฟสายใหม่ในอนาคต
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นการปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่งทางรางให้มีมาตรฐานทันสมัยมากขึ้น โดยรถดีเซลรางที่จัดหามานั้นจะเป็นระบบ Hybrid DEMU (Hybrid Diesel Electric Multiple Unit) ซึ่งสามารถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลและพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง ขบวนรถแต่ละชุดประกอบด้วยรถปรับอากาศชั้น 1 และชั้น 2 รองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 239 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น WiFi อินเทอร์เน็ต ห้องน้ำระบบปิด และพื้นที่สำหรับผู้พิการ
การจัดหารถดีเซลรางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อนำมาให้บริการในเส้นทางระยะไกลและระยะกลาง โดยในส่วนของเส้นทางเดิม จะมีการทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษในเส้นทางหลัก เช่น สวรรคโลก เชียงใหม่ อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวม 10 ขบวน ขณะที่เส้นทางใหม่ที่จะเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นจากโครงการทางคู่และการขยายเครือข่ายรถไฟจะมีจำนวน 52 ขบวน ครอบคลุมพื้นที่หลัก เช่น พิษณุโลก นครราชสีมา ขอนแก่น ชุมพร และยะลา
นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแล้ว โครงการนี้ยังถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งของไทย ที่มุ่งเน้นให้ประชาชนหันมาใช้ระบบรางมากขึ้น ลดภาระบนถนน ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถดึงดูดผู้โดยสารเฉลี่ย 4.81 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้ประมาณ 3,469 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ก่อนที่ รฟท. จะสามารถเปิดประมูลและดำเนินการจัดซื้อได้ โดยคาดว่ากระบวนการคัดเลือกผู้ผลิตจะแล้วเสร็จภายในปี 2569 และขบวนรถชุดแรกจำนวน 60 คัน จะเริ่มให้บริการได้ในปี 2570 จนครบทั้งหมดภายในปี 2573
การลงทุนครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของการรถไฟแห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการสู่ระดับสากล พร้อมรองรับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน และความต้องการในการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ก็คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการดำเนินโครงการนี้จะเป็นไปตามแผนหรือไม่ และจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้จริงหรือไม่ ในยุคที่ระบบขนส่งกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากภาคเอกชนและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น