ฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทาย: แนวโน้มธุรกิจสีทาอาคารไทยในปี 2025
แม้อุตสาหกรรมสีทาอาคารไทยจะเผชิญแรงกดดันจากภาคที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ปี 2025 กลับเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ด้วยมูลค่าตลาดที่คาดว่าจะแตะ 27,600 ล้านบาท ขยายตัวเล็กน้อยที่ +2.2%YOY สะท้อนถึงการปรับตัวของธุรกิจที่ยังคงมีศักยภาพเติบโตจากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์เป็นหลัก
โอกาสใหม่จากตลาดเชิงพาณิชย์และกลุ่มพรีเมียม
แรงหนุนสำคัญมาจากการก่อสร้างและปรับปรุงโครงการมิกซ์ยูส อาคารสำนักงาน และโรงแรม ซึ่งกลายเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนใหม่ แทนที่ความถดถอยของตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มโครงการระดับปานกลาง-บน และอาคารที่มุ่งสู่มาตรฐาน “อาคารเขียว” ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์สีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
กลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคารเกรดพรีเมียม—เช่น สีสะท้อนความร้อน สี Low-VOCs และสีปลอดสารพิษ—จึงมีแนวโน้มเติบโตดี พร้อมศักยภาพกำหนดราคาขายและอัตรากำไรสูงกว่าสินค้าในกลุ่มมาตรฐาน
ต้นทุนและการแข่งขัน: ตัวแปรสำคัญของสมรภูมิ
ต้นทุนวัตถุดิบซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 57% ของต้นทุนรวม ยังคงผันผวนตามราคาน้ำมันโลก ซึ่งแม้จะมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 แต่การแข่งขันด้านราคายังสูง โดยเฉพาะในตลาดกลุ่ม Standard & Economy ทำให้ผู้ผลิตรายเล็กที่ไม่มีอำนาจต่อรองสูง เสี่ยงต่อการถูกบีบอัตรากำไร
ผู้เล่นรายใหญ่ที่สามารถผลิตปริมาณมากจึงได้เปรียบจาก “Economy of Scale” และมีแนวโน้มรักษาอัตรากำไรไว้ได้ดีกว่า ขณะที่การหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิต ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดต้นทุนและตอบรับความต้องการด้าน ESG
การกระจายช่องทางขาย: ยุทธศาสตร์สู่ผู้บริโภคยุคใหม่
แม้ร้านค้าปลีกทั่วไปยังครองสัดส่วนกว่า 65% ของยอดขาย แต่การขยายช่องทางจำหน่ายไปยังร้านโมเดิร์นเทรด และ E-commerce ก็เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี AR และ AI ให้ผู้บริโภคทดลองเฉดสีก่อนตัดสินใจซื้อ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่การค้าปลีกยุคใหม่
นอกจากนี้ การขายตรงจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคและผู้รับเหมาก่อสร้างยังช่วยลดต้นทุนช่องทางและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบได้อย่างมีนัยสำคัญ
บทสรุปสำหรับผู้ประกอบการ
ปี 2025 อุตสาหกรรมสีทาอาคารไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การยกระดับสินค้าให้มีคุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ไม่เพียงเป็นแนวทางรับมือการแข่งขัน แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน การลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต พลังงานหมุนเวียน และช่องทางการตลาดสมัยใหม่ ก็เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้แม้ท่ามกลางข้อจำกัดของตลาดที่อยู่อาศัย