ในโลกที่เศรษฐกิจยังคงผันผวนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ความงาม” กลับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง — และหนึ่งในผู้นำที่ยังคงยืนหยัดเหนือคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ ลอรีอัล กรุ๊ป (L’Oréal Group)
ไตรมาส 3 ปี 2568 ลอรีอัลประกาศรายได้ 32.8 พันล้านยูโร เติบโต 3.4% YoY และหากมองในเชิงเทียบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ การเติบโตแตะระดับ 4.9% สะท้อนถึง “แรงขับเคลื่อนทั่วโลก” ที่มาจากทุกภูมิภาคและทุกแผนก ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอาง น้ำหอม ไปจนถึงเวชสำอาง ซึ่งแสดงถึงโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและยั่งยืนของกลุ่มบริษัท
💄 กลยุทธ์ “Beauty Stimulus Plan” จุดประกายตลาดความงามโลก
ภายใต้กลยุทธ์ Beauty Stimulus Plan ลอรีอัลได้เดินหน้าเปิดตัวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น AirLight Pro, Lancôme Rénergie Nano-Resurfacer, และ Melasyl ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดย TIME ว่าเป็น “สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2025” — ปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งด้าน Beauty Tech และการลงทุนในวิจัยพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง
นอกจากการเติบโตในตลาดดั้งเดิมอย่างยุโรปและอเมริกาเหนือแล้ว ลอรีอัลยังแสดงศักยภาพโดดเด่นในภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) ที่มียอดขายเติบโตสูงถึง 11% โดยเฉพาะในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่าง ไทย เวียดนาม อินเดีย และกลุ่ม GCC ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของตลาดเกิดใหม่ในฐานะแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจความงามโลก
💼 “ดีลแห่งทศวรรษ” กับ Kering – กำหนดนิยามใหม่ของ Luxury Beauty
หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างแรงสะเทือนต่อวงการธุรกิจโลก คือการประกาศ “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาว” ระหว่าง ลอรีอัล กรุ๊ป กับ เคอริง (Kering) กลุ่มแฟชั่นหรูระดับโลกที่ถือครองแบรนด์ไอคอนิกอย่าง Gucci, Bottega Veneta, Balenciaga, และ Creed
ข้อตกลงนี้มีมูลค่าสูงและมีนัยสำคัญต่อทั้งสองฝ่าย โดยประกอบด้วย
การเข้าซื้อกิจการ “Creed” แบรนด์น้ำหอมชั้นสูง
การทำ สัญญาอนุญาตสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ความงามและน้ำหอม สำหรับแบรนด์ Gucci, Bottega Veneta, และ Balenciaga เป็นเวลา 50 ปี
การร่วมทุนแบบ 50:50 Joint Venture เพื่อสำรวจธุรกิจใหม่ในจุดตัดของ Luxury – Wellness – Longevity
ดีลนี้ไม่เพียงเพิ่มพอร์ตสินค้าระดับลักชูรีของลอรีอัล แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมความงามที่ผสาน “สุขภาพ” และ “คุณภาพชีวิต” เข้ากับความหรูหรา ซึ่งเป็นเทรนด์หลักของผู้บริโภคยุคใหม่
💬 มุมมองจากผู้นำ
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวไว้ชัดเจนว่า
> “การเป็นพันธมิตรกับเคอริงจะเสริมความแข็งแกร่งให้เรากลายเป็นผู้นำในตลาดความงามหรูระดับโลก ขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ความงามไม่ได้เป็นเพียงการตกแต่งภายนอก แต่คือการดูแลสุขภาพและชีวิตอย่างมีคุณภาพ”
คำกล่าวนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของลอรีอัลในการขยายขอบเขต “Beauty Business” ไปสู่ “Holistic Wellness Economy” — เศรษฐกิจแห่งความงามที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ความยั่งยืน และสุขภาพที่ดีจากภายใน
🌱 ESG – ความงามที่ยั่งยืนคือธุรกิจแห่งอนาคต
อีกหนึ่งจุดแข็งของลอรีอัลคือการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน โดยในปีนี้บริษัทได้รับการจัดอันดับ “Prime” จาก ISS ESG ติดต่อกันเป็นปีที่ 14 และได้รับคะแนน “Low Risk (16.6)” จาก Sustainalytics รวมถึงติดอันดับ “Change the World” ของ Fortune จากโครงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์หมุนเวียน (Refillable & Circular Packaging)
นี่คือสัญญาณชัดว่า ลอรีอัลไม่ได้แข่งขันเพียงยอดขาย แต่กำลังขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมความงามที่ยั่งยืน” ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มุ่งสู่ Green Growth & Responsible Luxury
🧠 วิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจ: จาก Beauty Economy สู่ Longevity Market
การที่ลอรีอัลและเคอริงจับมือกัน ไม่เพียงเป็นดีลของสองยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและความงาม แต่ยังสะท้อนถึง “การบรรจบของเศรษฐกิจใหม่ 3 มิติ” ได้แก่
1. Luxury Economy – ความต้องการสินค้าหรูที่แสดงตัวตน
2. Wellness Economy – การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
3. Longevity Economy – เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภคที่ต้องการ “อายุยืนและคุณภาพชีวิตที่ดี”
เมื่อทั้งสามมิติรวมกัน จะเกิด “New Luxury Paradigm” ที่ความหรูหราไม่ได้หมายถึงราคาแพง แต่คือ “การลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีและยั่งยืน” — และลอรีอัลกำลังวางตัวเองให้เป็นผู้นำของตลาดใหม่นี้
📈 มุมมองต่อเศรษฐกิจปี 2026
แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แต่ผลประกอบการของลอรีอัลสะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสินค้าที่สร้าง “คุณค่า” มากกว่า “ราคา” และเมื่อผสานเข้ากับการขยายตลาดออนไลน์ที่เติบโตระดับ สองหลัก ตลอดทั้งปี ทำให้ธุรกิจความงามกลายเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผู้บริโภค (Consumer Economy)
คาดว่าปี 2026 ลอรีอัลจะยังคงรักษาการเติบโตเหนืออุตสาหกรรมความงามโลก พร้อมต่อยอดจากฐานพันธมิตรใหม่กับเคอริง เพื่อขยายไปสู่ธุรกิจ “Beauty & Longevity Tech” อย่างเต็มรูปแบบ
![]()














