Friday, March 28, 2025
ads-AIA
2-GSB
3-TOA
4-NHA
previous arrow
next arrow
HomeSCOOP & ARTICLE สกู๊ฟ-บทความสงครามภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนที่กระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรง

สงครามภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนที่กระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรง

การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลหะทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ

ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าประเทศใดมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด และสำหรับประเทศไทยเอง การขึ้นภาษีครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างไร ทั้งทางตรงและทางอ้อม

1. ผลกระทบทางตรง: ตลาดเหล็กไทยกำลังถูกบีบให้แคบลง

แม้ว่ามูลค่าการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมของไทยไปยังสหรัฐฯ จะอยู่ที่ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2% ของการนำเข้าทั้งหมด ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศหลักอย่างแคนาดา จีน และเม็กซิโก แต่ตัวเลขหนึ่งที่น่ากังวลคือ ไทยพึ่งพาการส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 33.3% ของยอดส่งออกทั้งหมด

นี่หมายความว่าการขึ้นภาษีในครั้งนี้ อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีความเสี่ยงที่จะเสียตลาดไปให้กับประเทศที่มีความสามารถในการผลิตที่ต้นทุนต่ำกว่า

2. ผลกระทบทางอ้อม: เหล็กจีน-ไต้หวัน-เวียดนามอาจทะลักเข้าไทย

อีกหนึ่งผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “การเบี่ยงเบนทางการค้า” (Trade Diversion) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประเทศผู้ส่งออกเดิมของสหรัฐฯ ต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนกำลังซื้อนี้ โดยเฉพาะ จีน ไต้หวัน และเวียดนาม ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่และอยู่ใกล้กับไทย

ปัจจุบัน จีนส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมมายังไทย 4.1%

ไต้หวันส่งออก 3.6%

เวียดนามส่งออก 3.3%

เมื่อสหรัฐฯ ปิดประตูนำเข้า โลหะจากสามประเทศนี้อาจไหลทะลักเข้าสู่ไทย ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งไทยมีสัดส่วนการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมถึง 10%

3. ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย: ต้นทุนสูงขึ้น กำไรหดตัว

(1) กำลังการผลิต (CAP-U) อาจถูกกดดันให้ต่ำลงต่อเนื่อง

อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของภาคอุตสาหกรรมเหล็กไทยปัจจุบันอยู่ที่ 40-45% ต่อปี ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนที่เคยอยู่ 50-60% หากการส่งออกไปสหรัฐฯ ยากขึ้น และยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอื่น อาจทำให้การผลิตลดลงไปอีก ส่งผลต่อรายได้และการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรม

(2) ความเสี่ยงขาดทุนจาก Stock Loss

ตลาดเหล็กโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญภาวะราคาตกต่ำจาก 2 ปัจจัยหลัก

การดัมพ์ราคา จากประเทศผู้ส่งออกที่ต้องเร่งหาตลาดใหม่

ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนชะลอตัว ซึ่งจีนเป็นผู้บริโภคเหล็กถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการใช้เหล็กทั่วโลก

หากผู้ประกอบการไทยไม่มีการบริหารจัดการสต็อกอย่างรอบคอบ อาจเผชิญความเสี่ยงจากการขาดทุนจากสต็อกสินค้าที่ราคาตกลง

(3) ผลประกอบการและสภาพคล่องอาจเข้าสู่จุดวิกฤติ

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า กว่า 50% ของธุรกิจเหล็กในไทยเผชิญกับภาวะรายได้หดตัวและขาดทุนสุทธิ และยังมีแนวโน้มว่าปัญหาสภาพคล่องจะรุนแรงขึ้น หากต้องรับมือกับการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าราคาถูกและยอดขายที่ลดลง

ข้อสรุป: ไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์รับมือก่อนตลาดพัง

มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไม่ได้กระทบแค่ผู้ส่งออกเหล็กไปยังอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ การแข่งขันภายในประเทศและตลาดส่งออกอื่น ๆ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้เร็วพอ อาจทำให้ธุรกิจเหล็กของไทยเผชิญภาวะขาดทุนหนักขึ้น

ทางออกของผู้ประกอบการไทยอาจต้องมุ่งเน้นไปที่
✅ ขยายตลาดส่งออกใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และหาโอกาสในกลุ่มประเทศที่ยังมีความต้องการสูง
✅ บริหารจัดการสต็อกอย่างระมัดระวัง ป้องกันความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ
✅ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ทั้งในแง่ของต้นทุน คุณภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม

สุดท้ายแล้ว การแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากปรับตัวไม่ทัน อาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม และลามไปสู่เศรษฐกิจไทยในวงกว้าง

Loading

RELATED ARTICLES
BAM
BAM
previous arrow
next arrow

Most Popular