การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ถือเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานโลหะทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ
ในบทความนี้ เราจะมาวิเคราะห์ว่าประเทศใดมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด และสำหรับประเทศไทยเอง การขึ้นภาษีครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างไร ทั้งทางตรงและทางอ้อม
1. ผลกระทบทางตรง: ตลาดเหล็กไทยกำลังถูกบีบให้แคบลง
แม้ว่ามูลค่าการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมของไทยไปยังสหรัฐฯ จะอยู่ที่ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2% ของการนำเข้าทั้งหมด ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศหลักอย่างแคนาดา จีน และเม็กซิโก แต่ตัวเลขหนึ่งที่น่ากังวลคือ ไทยพึ่งพาการส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 33.3% ของยอดส่งออกทั้งหมด
นี่หมายความว่าการขึ้นภาษีในครั้งนี้ อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีความเสี่ยงที่จะเสียตลาดไปให้กับประเทศที่มีความสามารถในการผลิตที่ต้นทุนต่ำกว่า
2. ผลกระทบทางอ้อม: เหล็กจีน-ไต้หวัน-เวียดนามอาจทะลักเข้าไทย
อีกหนึ่งผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “การเบี่ยงเบนทางการค้า” (Trade Diversion) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อประเทศผู้ส่งออกเดิมของสหรัฐฯ ต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนกำลังซื้อนี้ โดยเฉพาะ จีน ไต้หวัน และเวียดนาม ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่และอยู่ใกล้กับไทย
ปัจจุบัน จีนส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมมายังไทย 4.1%
ไต้หวันส่งออก 3.6%
เวียดนามส่งออก 3.3%
เมื่อสหรัฐฯ ปิดประตูนำเข้า โลหะจากสามประเทศนี้อาจไหลทะลักเข้าสู่ไทย ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ซึ่งไทยมีสัดส่วนการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมถึง 10%
3. ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย: ต้นทุนสูงขึ้น กำไรหดตัว
(1) กำลังการผลิต (CAP-U) อาจถูกกดดันให้ต่ำลงต่อเนื่อง
อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของภาคอุตสาหกรรมเหล็กไทยปัจจุบันอยู่ที่ 40-45% ต่อปี ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนที่เคยอยู่ 50-60% หากการส่งออกไปสหรัฐฯ ยากขึ้น และยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอื่น อาจทำให้การผลิตลดลงไปอีก ส่งผลต่อรายได้และการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรม
(2) ความเสี่ยงขาดทุนจาก Stock Loss
ตลาดเหล็กโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญภาวะราคาตกต่ำจาก 2 ปัจจัยหลัก
การดัมพ์ราคา จากประเทศผู้ส่งออกที่ต้องเร่งหาตลาดใหม่
ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนชะลอตัว ซึ่งจีนเป็นผู้บริโภคเหล็กถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการใช้เหล็กทั่วโลก
หากผู้ประกอบการไทยไม่มีการบริหารจัดการสต็อกอย่างรอบคอบ อาจเผชิญความเสี่ยงจากการขาดทุนจากสต็อกสินค้าที่ราคาตกลง
(3) ผลประกอบการและสภาพคล่องอาจเข้าสู่จุดวิกฤติ
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า กว่า 50% ของธุรกิจเหล็กในไทยเผชิญกับภาวะรายได้หดตัวและขาดทุนสุทธิ และยังมีแนวโน้มว่าปัญหาสภาพคล่องจะรุนแรงขึ้น หากต้องรับมือกับการแข่งขันจากเหล็กนำเข้าราคาถูกและยอดขายที่ลดลง
ข้อสรุป: ไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์รับมือก่อนตลาดพัง
มาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไม่ได้กระทบแค่ผู้ส่งออกเหล็กไปยังอเมริกาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ การแข่งขันภายในประเทศและตลาดส่งออกอื่น ๆ หากไทยไม่สามารถปรับตัวได้เร็วพอ อาจทำให้ธุรกิจเหล็กของไทยเผชิญภาวะขาดทุนหนักขึ้น
ทางออกของผู้ประกอบการไทยอาจต้องมุ่งเน้นไปที่
✅ ขยายตลาดส่งออกใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และหาโอกาสในกลุ่มประเทศที่ยังมีความต้องการสูง
✅ บริหารจัดการสต็อกอย่างระมัดระวัง ป้องกันความเสี่ยงจากราคาตกต่ำ
✅ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ทั้งในแง่ของต้นทุน คุณภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
สุดท้ายแล้ว การแข่งขันในอุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากปรับตัวไม่ทัน อาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม และลามไปสู่เศรษฐกิจไทยในวงกว้าง