รายงาน “Global Wealth Report 2025” ฉบับที่ 16 ของกลุ่มอลิอันซ์ (Allianz Group) เผยภาพรวมความมั่งคั่งของครัวเรือนทั่วโลกในปี 2024 ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยสินทรัพย์การเงินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึง 8.7% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 269 ล้านล้านยูโร ถือเป็น “ปีทอง” ของการเติบโตทางการเงินทั่วโลก แม้อัตราส่วนสินทรัพย์ต่อเศรษฐกิจ (GDP) จะคงอยู่ที่ 283% ใกล้เคียงกับระดับเมื่อปี 2017 สะท้อนว่าภาพรวมเศรษฐกิจยังเดินหน้าอย่างมั่นคงแต่สมดุล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ “ครึ่งหนึ่งของการเติบโตทั่วโลก มาจากสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว” ข้อมูลนี้แสดงถึงบทบาทของเศรษฐกิจอเมริกันในฐานะแหล่งพลังขับเคลื่อนสำคัญของความมั่งคั่งระดับโลก ขณะที่ยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่นกลับเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างชัดเจน
ลูโดวิค เซอร์บราน (Ludovic Subran) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มอลิอันซ์ กล่าวชัดว่า “ในปี 2024 เพียงปีเดียว ครึ่งหนึ่งของการเติบโตของสินทรัพย์การเงินทั่วโลกมาจากสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งสะท้อนว่าความเชื่อที่ว่าสหรัฐฯ เสียเปรียบจากการเติบโตของประเทศอื่นนั้น ไม่สอดคล้องกับความจริงในมิติของสินทรัพย์การเงิน” พร้อมเสริมว่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จีนมีสัดส่วน 20% ของการเติบโต ขณะที่ยุโรปตะวันตกมีเพียง 12% เท่านั้น
“ออมอย่างฉลาด” คือ การถือครองหลักทรัพย์
ในภาพรวมทั่วโลก การถือครอง หลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้น เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันสินทรัพย์การเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 และ 2024 มูลค่าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 11.5% และ 12.0% ตามลำดับ เร็วกว่าประกัน/บำนาญ (6.9%) และเงินฝากธนาคาร (5.7%) เกือบ “เท่าตัว” สะท้อนว่าผู้ที่กระจายการลงทุนสู่ตลาดทุนได้รับผลตอบแทนดีกว่าการออมรูปแบบเดิม
อย่างไรก็ดี ความแตกต่างในโครงสร้างพอร์ตลงทุนของแต่ละภูมิภาคทำให้ผลของการเติบโตไม่เท่ากัน ผู้ลงทุนในอเมริกาเหนือถือครองหลักทรัพย์ถึง 59% ของพอร์ต ในขณะที่ยุโรปตะวันตกราว 35% และอินเดียเพียง 13% ทำให้ประเทศที่พึ่งพาการออมเงินสดต้องอาศัย “แรงออม” มากกว่า “แรงลงทุน”
แคทริน สตอฟเฟล หนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าวว่า “คุณต้องทำงานเพื่อหาเงิน แต่สิ่งที่ฉลาดกว่าคือให้เงินทำงานแทนคุณ แบบที่ชาวอเมริกันทำ เพราะราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นคือแรงขับหลักของการเติบโตของสินทรัพย์ในสหรัฐฯ”
ความเหลื่อมล้ำที่ “ไม่เปลี่ยนแปลง”
แม้สินทรัพย์ทั่วโลกจะเติบโตต่อเนื่อง แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำกลับ “นิ่งสนิท” ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา รายงานระบุว่า 10% ของประชากรที่ร่ำรวยที่สุดในแต่ละประเทศ ครองสัดส่วนความมั่งคั่งเฉลี่ย 60.4% ของสินทรัพย์ทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบความมั่งคั่งเฉลี่ยกับค่ากลาง (median) พบว่าช่องว่างยังคงห่างกันถึง 3.08 เท่า ซึ่งแทบไม่ต่างจากเมื่อปี 2004 ที่อยู่ในระดับ 3.05 เท่า
กล่าวได้ว่า แม้โลกจะร่ำรวยขึ้นมาก แต่ “ความเท่าเทียม” ยังไม่เกิดขึ้นจริง — การกระจายทรัพย์สินยังคงกระจุกอยู่ในมือกลุ่มบนของสังคม
ในกรณีของประเทศไทย แนวโน้มดังกล่าวก็ยังคงปรากฏ โดยส่วนแบ่งความมั่งคั่งของ 10% แรกลดลงเพียงเล็กน้อย จาก 66.5% เหลือ 65.3% ซึ่งยังคงสะท้อนช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ฝังรากลึก
“ไทยฟื้นตัว” แต่ยังต้องระวังหนี้ครัวเรือน
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะสดใส แต่ประเทศไทยยังอยู่ในช่วง “ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป” โดยสินทรัพย์การเงินรวมของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 2.5% ในปี 2024 แตะระดับ 787.7 พันล้านยูโร หลังจากหดตัวถึง -4.1% ในปีก่อนหน้า คิดเป็นการเติบโตเชิงจริง 2.1%
แรงขับหลักของการฟื้นตัวมาจาก เงินฝาก และ สินทรัพย์ประกันและบำนาญ โดยเงินฝากยังเป็นสินทรัพย์หลักของครัวเรือนไทยในสัดส่วนถึง 57% และเติบโต 2.7% ขณะที่สินทรัพย์ด้านประกันและบำนาญแม้มีสัดส่วนเล็ก แต่เติบโตสูงสุดที่ 6.5% ส่วนหลักทรัพย์ลดลงเล็กน้อย -1.0% หลังจากร่วงแรง -17.4% ในปีก่อนหน้า
ด้าน หนี้สินรวมของครัวเรือนไทย เติบโตเพียง 0.2% ซึ่งถือว่าชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ยังมีจุดที่น่ากังวลคือ อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP อยู่ที่ 88.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 59.6% อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันอัตราส่วนสินทรัพย์ต่อ GDP อยู่เพียง 149.7%
โดยสรุป สินทรัพย์ทางการเงินสุทธิของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้น 6.1% เป็น 322.5 พันล้านยูโร จัดอยู่ใน อันดับที่ 45 ของประเทศที่เข้าร่วมสำรวจ ซึ่งแม้ยังไม่ใช่ระดับแนวหน้า แต่ถือเป็นสัญญาณบวกของการฟื้นตัวหลังภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
รายงานของอลิอันซ์ฉบับนี้จึงสะท้อนภาพที่น่าสนใจของเศรษฐกิจโลกในยุคใหม่ — โลกที่มีความมั่งคั่งรวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถสลายกำแพงความเหลื่อมล้ำได้ และในขณะเดียวกัน ก็เตือนให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างไทย ต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวังในสมดุลระหว่าง “การออม” “การลงทุน” และ “หนี้สิน” เพื่อก้าวต่อไปอย่างแข็งแกร่งบนเส้นทางแห่งความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน