กรณีการเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตของ นางสาวจันเกตุ ทับบุญ กลายเป็นประเด็นที่สะเทือนวงการประกันภัยไทย และเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า “ความเชื่อมั่นของประชาชน” คือหัวใจของธุรกิจประกันชีวิต—หัวใจที่อาจสั่นคลอนได้จากการทุจริตเพียงรายเดียว
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่คดีฉ้อโกงธรรมดา แต่เป็น การฉ้อฉลประกันภัยมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท สร้างความเสียหายให้ผู้เอาประกันภัยอย่างน้อย 12 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อมั่นในตัวแทนคนนี้จากความสนิทสนมและการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าไว้วางใจ
กลลวงที่เริ่มจาก “ความเชื่อใจ”
ผู้เสียหายหลายรายเล่าว่า วิธีการหลอกลวงเริ่มจากข้อเสนอที่ดูเหมือน “พิเศษเฉพาะคุณ” เช่น
ส่วนลดเบี้ยประกัน 15%
การแถม ทองคำ หากชำระเบี้ยผ่านตัวแทนโดยตรง
การเร่งรีบให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว โดยอ้างว่าบริษัทมีโปรโมชันลับ
ข้อเสนอเหล่านี้ทำให้ผู้เอาประกันหลายคนหลงเชื่อ เพราะตัวแทนอยู่ในสังกัดบริษัทใหญ่และมีผลงานดีในอดีต แต่เบื้องหลังกลับเป็นการ ไม่นำส่งเงินเข้าบริษัท ทำให้กรมธรรม์หลายฉบับ “ไม่มีผลบังคับจริง”
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า
> “ความใกล้ชิด ไม่เท่ากับความปลอดภัยทางการเงิน”
คปภ. งัดกฎหมายจัดการเด็ดขาด
สำนักงาน คปภ. ไม่เพียงสั่งเพิกถอนใบอนุญาต แต่ยังเร่งดำเนินคดีตามกฎหมายฐาน “ฉ้อฉลประกันภัย” โดยส่งสำนวนเข้าสู่กองบังคับการ ปอศ. และอยู่ระหว่างออกหมายเรียกผู้กระทำผิด
การไม่มาชี้แจงตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง ทำให้คำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต เลขที่ 75/2568 ถูกประกาศในทันที ถือเป็นคดีตัวอย่างที่ย้ำว่า
> ธุรกิจประกันภัยต้องยึดความโปร่งใสเหนือทุกอย่าง—แม้แต่ตัวแทนที่เคยทำผลงานดี ก็ไม่อยู่เหนือการตรวจสอบ
บทบาทของไทยประกันชีวิต: เร่งรับผิดชอบ – เร่งปิดช่องโหว่
ไทยประกันชีวิตในฐานะบริษัทต้นสังกัด ชี้แจงว่ามีการตรวจสอบและสั่งพ้นสภาพตัวแทนตั้งแต่ 3 ตุลาคม 2568 ก่อนที่คปภ. จะประกาศเพิกถอนอย่างเป็นทางการ
บริษัทประกาศ 3 แนวทางสำคัญดังนี้:
1. ช่วยเหลือผู้เสียหายที่มีหลักฐานชัดเจน
ผู้ที่มีหลักฐานการโอนเงินครบถ้วนจะได้รับการดูแลตามสิทธิของผู้เอาประกันภัยโดยไม่ให้เสียเปรียบ
2. ดำเนินคดีทางกฎหมายแบบถึงที่สุด
ผู้กระทำผิด รวมถึงผู้ที่ร่วมขบวนการนำเอกสารบริษัทไปใช้หลอกลวง จะถูกดำเนินการทางอาญาในทุกข้อหา
3. ปรับระบบป้องกันทุจริตครั้งใหญ่
ยกเลิกการรับเงินสดสำหรับลูกค้าใหม่
เปลี่ยนใบเสร็จชั่วคราวเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์
ขยายช่องทางตรวจสอบกรมธรรม์ผ่านแอปและเว็บไซต์
มาตรการเหล่านี้สะท้อนความตั้งใจของบริษัทที่จะเยียวยาอย่างจริงจัง พร้อมฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระยะยาว
“ผู้เสียหาย 12 ราย” คือสัญญาณว่าช่องโหว่ในอุตสาหกรรมยังมีอยู่
แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากตัวแทนหนึ่งราย แต่ผลกระทบกลับขยายเป็นวงกว้าง เพราะระบบการชำระเบี้ยที่ยังเปิดช่องให้ตัวแทนรับเงินสดหรือใช้วิธีการที่ตรวจสอบยาก
คปภ. จึงสั่งการให้บริษัทประกันทุกแห่งต้องเข้มงวดมากขึ้น ได้แก่
เบี้ยประกันต้องโอนเข้าบัญชีบริษัทเท่านั้น
ตัวแทนที่รับเงินสดโดยไม่ได้แจ้งระบบจะถือว่าผิดกฎร้ายแรง
สร้างฐานข้อมูล “ตัวแทนเสี่ยงสูง” เพื่อป้องกันพฤติกรรมซ้ำซ้อนในอุตสาหกรรม
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ มาตรฐานทั้งอุตสาหกรรม
บทเรียนสำคัญสำหรับประชาชน
เหตุการณ์นี้สอนเราหลายอย่าง โดยเฉพาะในยุคที่มิจฉาชีพมีความสามารถในการสร้างภาพลักษณ์และสร้างความไว้วางใจสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ประชาชนควรปฏิบัติ 4 ข้อนี้เป็นมาตรฐาน:
1. อย่าโอนเงินเข้าบัญชีบุคคล แม้จะเป็นตัวแทนที่รู้จักมานานก็ตาม
2. ตรวจสอบสถานะกรมธรรม์ในแอป/เว็บไซต์ทันทีหลังชำระเบี้ย
3. สงสัยทุกครั้งที่มีส่วนลดหรือของแถมพิเศษผิดปกติ
4. โทรเช็กกับ Call Center ของบริษัท ก่อนทำรายการที่ไม่มั่นใจ
อุตสาหกรรมประกันภัยต้องตอบคำถามใหญ่
เหตุการณ์ฉ้อโกงนี้สะท้อนประเด็นที่อุตสาหกรรมต้องเร่งตอบให้ชัดเจน:
ระบบตรวจสอบตัวแทนเข้มแข็งพอหรือไม่?
บริษัทประกันให้ความสำคัญกับการป้องกันทุจริตมากน้อยแค่ไหน?
ความโปร่งใสในกระบวนการชำระเบี้ยได้มาตรฐานเพียงใด?
เพราะท้ายที่สุด ธุรกิจประกันชีวิตขาย “คำมั่นสัญญาในอนาคต” และคำมั่นนั้นจะไร้ความหมายทันที หากประชาชนไม่มั่นใจในระบบ
สรุป
คดีตัวแทนฉ้อโกงผู้เสียหายอย่างน้อย 12 ราย มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ทั้งอุตสาหกรรมต้องยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภค
คปภ. แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถบังคับใช้ได้อย่างจริงจัง
บริษัทประกันต้องเร่งฟื้นฟูความไว้วางใจ
ส่วนประชาชนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรมทางการเงินทุกครั้ง
เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกัน ความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยไทยก็จะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง—แม้ต้องเริ่มจากบทเรียนที่ราคาแพงก็ตาม
![]()













