กรุงเทพฯ – ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเงิน วิเคราะห์เชิงลึกถึงปรากฏการณ์ที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีต่ำที่สุดในภูมิภาค แม้แต่ญี่ปุ่นซึ่งมีนโยบายดอกเบี้ยต่ำแบบสุดขั้วยังมีผลตอบแทนสูงกว่าไทย สร้างคำถามสำคัญว่า “ทำไมไทยถึงรักษาอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำได้ต่อเนื่อง”
🔹 ปัจจัยโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงการออมสูง
ดร.ประศาสน์ชี้ว่า คำอธิบายที่มักเข้าใจผิดคือ “ไทยมีการออมสูงจึงดอกเบี้ยต่ำ” แต่แท้จริงแล้ว อัตราการออมของไทยไม่ได้สูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยไทยต่ำ มาจาก โครงสร้างระบบการเงินและการจัดการดุลชำระเงินระหว่างประเทศ ที่แตกต่างจากหลายประเทศ
หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ไทยสะสม เงินสำรองระหว่างประเทศ (foreign reserves) ในระดับสูงมาก เพื่อสร้างเสถียรภาพค่าเงิน ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องส่วนเกิน การโยงตรงระหว่าง ฐานเงิน (monetary base) และ ปริมาณเงินหมุนเวียน (money supply) ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงและต้นทุนการเงินอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
🔹 เปรียบเทียบกับต่างประเทศ
เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจสำคัญในเอเชีย–แปซิฟิก จะเห็นความแตกต่างชัดเจน
สิงคโปร์ เลือกดึงเงินลงทุนออกไปต่างประเทศเพื่อรักษาสมดุลการเงิน ทำให้สภาพคล่องในประเทศไม่ได้หนาแน่นเหมือนไทย
ออสเตรเลีย ต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติเข้ามาอย่างมากเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่า
มาเลเซีย มีความไม่เสถียรด้านดุลชำระเงิน ทำให้ธนาคารกลางไม่สามารถรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำได้ยาวนาน
ญี่ปุ่น แม้มีเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง แต่ธนาคารกลางใช้วิธีสร้างปริมาณเงินโดยการถือพันธบัตรและสินทรัพย์ภายในประเทศ ซึ่งต่างจากไทยที่มีความผูกพันโดยตรงกับเงินสำรอง
🔹 ตลาดพันธบัตรไทย: ลึกและมีสภาพคล่อง
ตลาดพันธบัตรไทยถือว่ามีความลึกและสภาพคล่องสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีนักลงทุนต่างชาติถือครองประมาณ 25% ของพันธบัตรรัฐบาลไทย และปริมาณการซื้อขายเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 8.5% หลังปี 2540 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ไทย
ผลที่ตามมาคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง กลายเป็น “ต้นทุนทางการเงิน” ที่เอื้อต่อภาคเอกชน ทั้งในด้านการกู้ยืมลงทุนและการออกตราสารหนี้
🔹 ผลดี–ผลท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย
อัตราดอกเบี้ยต่ำช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคการผลิต การก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ที่พึ่งพาการกู้ยืมระยะยาว นอกจากนี้ยังเอื้อให้นักลงทุนไทยสามารถขยายการลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกขึ้น เนื่องจาก ต้นทุนทางการเงินภายในประเทศต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องจับตา คือ แนวโน้ม ขาดดุลบัญชีการเงิน (financial account deficit) ที่เกิดบ่อยขึ้นในช่วงหลัง แม้จะอยู่ในระดับไม่สูงมาก แต่สะท้อนถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่อาจกดดันเสถียรภาพการเงินในอนาคต
🔹 มุมมองอนาคต
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ไทยยังคงรักษาสภาพแวดล้อมดอกเบี้ยต่ำได้ต่อเนื่อง ตราบใดที่เงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง และระบบการเงินยังคงมีสภาพคล่องมากพอ แต่ภาครัฐและธนาคารกลางจำเป็นต้อง บริหารความสมดุลระหว่างเสถียรภาพค่าเงินกับการไหลออกของเงินทุน เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจมหภาค
ดร.ประศาสน์ทิ้งท้ายว่า จุดแข็งด้าน “ต้นทุนการเงินต่ำ” ของไทย อาจกลายเป็นโอกาสสำคัญให้ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันและขยายการลงทุนได้มากขึ้นในเวทีโลก แต่ต้องไม่ละเลยความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศ